“หากใช้ยาพาราเซตามอล ติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของตับได้”
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีอาการไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ก็จะแนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดลดไข้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ครอบคลุมอาการตัวร้อน และครั่นเนื้อครั่นตัวได้อย่างดีอีกด้วย คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะซีตามิโนเฟน (acetaminophen)มีไข้ ปวดหัว ตัวร้อน จากไข้หวัด ใช้ยาพาราเซตามอล
พาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้าน เวลาสมาชิกในครอบครัวมีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ก็จะนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ ซึ่งโดยทั่วไปผู้ใหญ่นิยมกินครั้งละ ๒ เม็ด (ขนาดเม็ดละ ๕๐๐ มิลลิกรัม) ทุก ๔-๖ ชั่วโมง เวลาที่มีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ และเมื่อหายดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีก ให้หยุดยาได้เลย เมื่อไหร่ที่เป็นอีก ก็หยิบใช้เป็นครั้งคราวไป
ใช้ยาพาราเซตามอล...อย่างฉลาด
จากการที่เราคุ้นเคยกับยาพาราเซตามอล มีการหยิบใช้กันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะปวดหัว ตัวร้อน ปวดประจำเดือน ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดเอว ปวดข้อ เป็นต้น เรียกว่ารู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลาย จนขนานนานว่า เพื่อนที่แสนดีเพราะไม่ว่าจะปวดอะไรก็นึกถึงพาราเซตามอล
ยาก็คือยา ยาไม่ใช่ขนม หรืออาหาร เวลาใช้ก็ต้องระมัดระวังใช้อย่างมีเหตุผล ใช้ยาอย่างฉลาด ไม่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เพราะคงเคยได้ยินคำขวัญว่า “ยามีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์” และขอเติมต่อท้ายอีกนิดว่า “ควรใช้อย่างฉลาด”
ยาที่แสนดีอย่างพาราเซตามอล ก็เป็นยาที่มีคุณอนันต์ และมีโทษมหันต์เช่นกัน ในเรื่องคุณอนันต์คงได้ประจักษ์กันแล้ว เพราะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ
ถ้าใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันนาน....จะมีพิษต่อตับได้
การใช้ยาพาราเซตามอลครั้งละ ๒ เม็ด วันละ ๓ ครั้ง ใช้ติดต่อกัน ๒-๓ วัน หรืออย่างมากก็ติดต่อกัน ๕ วัน หรือประมาณ ๑ สัปดาห์ ถือว่าปลอดภัย
ถ้ามีการใช้ยาเกิน ๕-๗ วัน และ/หรือใช้ติดต่อกันนานกว่านี้ ก็อาจเกิดอันตรายต่อผู้ที่ใช้ได้ โดยอันตรายที่เกิดจากการใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันนาน ๆ เช่น ใช้วันละ ๔ ครั้ง และนานติดต่อกันเป็นเดือน ๆ ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของตับได้ จึงควรระมัดระวัง เพราะยาตัวนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยตับ เมื่อใช้ติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจส่งผลต่อตับ ตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เรียกกันว่า “ดีซ่าน” ได้จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง